พระภุชงค์ จิรวัฑโฒ (รอดเจริญ) วัดสามัคคีคุณาวาส (หนองพังงาย) ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

แชร์บทความ

         พระภุชงค์ จิรวัฑโฒ เป็นชาว ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง สกุลเดิมคือ “รอดเจริญ” เกิดวันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เมื่อครั้งอายุได้ 4-5 ปี เป็นเด็กที่มีนิสัยแตกต่างจากเด็กทั่วไปโดยสิ้นเชิงชอบตามยายสมบูรณ์ จันทร์มณี ไปทำบุญถือศีล 8 ที่วัดเป็นประจำส่งผลให้จำบทสวดมนต์ปริตรได้เกือบทุกบทโดยไม่ต้องหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่านหรือท่องจำอาศัยเพียงแค่การฟังเท่านั้น อีกเรื่องเมื่อทางวัดมีการเผาฌาปนกิจจะต้องเห็นเด็กชายภุชงค์ร่วมสังเกตการณ์ทุกครั้ง ทำให้จดจำวิธีการและท่าทางของสัปเหร่อตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย จากการที่เห็นบ่อยจึงได้นำวิธีการต่างๆมาใช้กับบรรดาสัตว์เล็กใหญ่ที่ตายในบ้าน เช่น จิ้งจก กิ้งก่า ปลาทอง เป็นต้น ช่วงประมาณ 9 ปี เด็กชายภุชงค์ขอให้พ่อและแม่ซื้อโต๊ะหมู่บูชาให้ หลังจากนั้นเมื่อมีทำบุญบ้านไม่ว่าจะบ้านใครก็ตามจะเห็นเด็กชายภุชงค์อยู่ร่วมงานด้วยเสมอ เพียงต้องการดูขั้นตอนวิธีการแล้วนำกลับมาทำที่บ้านเป็นประจำ เช่น การสวดมนต์ทำน้ำมนต์เจิมบ้าน เป็นต้น จะเห็นว่าเด็กชายภุชงค์สนใจใฝ่เรียนรู้วิชาอาคมซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากต้นตระกูลทางฝ่ายบิดาและมารดาที่มีวาสนาบารมีต่อกัน เพราะเมื่อสืบประวัติอย่างจริงจังแล้วจะเห็นได้ว่าทั้งสองตระกูลสืบทอดเรียนรู้วิชาคาถาอาคม หมอยาแผนโบราณมาหลายชั่วอายุคน

         ในวัย 12 ปี ท่านไปเที่ยวบ้านน้องสาวของยายชื่อ “ยายสำเนา” ก็ได้เจอหนังสือชีวประวัติของพระครูมนูญธรรมวัตร (หลวงพ่อสาคร) เจ้าอาวาสวัดหนองกรับ จ.ระยอง ท่านอ่านเสร็จเกิดแรงบันดาลใจอยากจะไปขอศึกษาวิชากับหลวงพ่อสาคร จึงตัดสินใจเดินทางไปวัดหนองกรับซึ่งระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ท่านได้ปั่นจักรยานคู่ชีพไปเป็นประจำพิสูจน์ให้หลวงพ่อเห็นในความพยายาม พออาทิตย์ที่ 4 จึงได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดขอเรียนวิชากับหลวงพ่อสาครอย่างเป็นทางการ มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อสาครพูดขึ้นมาว่า “ภุชงค์ของทุกสิ่งทุกอย่างสำคัญที่ใจตัวเดียวถ้าใจดีเสียแล้วทุกอย่างดีหมด ขลังหมด” จากประโยคสั้นๆ ที่ได้ฟังท่านจึงเริ่มหันมาสนใจฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาควบคู่กับการเรียนวิชาคาถาอาคม และท่านก็ได้ขอขึ้นกรรมฐานกับหลวงพ่อซึ่งหลวงพ่อก็ได้สอนให้ฝึกนั่งสมาธิโดยการภาวนา พุธโธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ (ตามหลักอานาปานสติ) ซึ่งขณะนั้นท่านยังไม่เข้าใจคำว่า “สำคัญที่ใจ” หรือ “ทำใจให้ดีๆ” ท่านจึงเริ่มแสวงหาครูบาอาจารย์ทางกรรมฐานเพื่อฝึกใจ เมื่อท่านอายุได้ประมาณ 15 ปี ก็พลันได้ยินคนที่มารอพบหลวงพ่อสาครพูดคุยถึงอาจารย์สอนนั่งกรรมฐานท่านจึงได้ไปสอบถาม จึงได้ทราบว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ ชื่อ “อาจารย์ชาญยุทธ” ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ท่านได้อาศัยอยู่กับอาจารย์ชาญยุทธอยู่นานพอสมควร ช่วงเวลานี้ท่านเริ่มมีโอกาสศึกษาตำราวิชาของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และได้เริ่มรู้จักอาจารย์พีรณัต ในการเรียนครั้งนั้นได้รับตำราจากอาจารย์พีรณัต ซึ่งอาจารย์ได้คัดลอกจากตำราสมุดข่อยของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตกทอดมาหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย จากนั้นตกทอดมาอยู่กับหลวงพ่อมหาโพธิ์ แห่งวัดคลองมอญตามลำดับ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกมากที่ได้มาเรียน ในครั้งยังเป็นฆราวาสมีโอกาสไปกราบหลวงพ่อมหาโพธิ์ ที่วัดคลองมอญ ท่านได้นำตำราที่เรียนจากอาจารย์พีรณัต และตำราเอกสารที่ถ่ายออกมาจากตำราลายมือบันทึกหลวงปู่กลับ แสงเขียว ติดตัวไปด้วยเมื่อพบหลวงพ่อมหาโพธิ์จึงถวายของที่เตรียมมาพร้อมเล่าเรื่องต่างๆให้หลวงพ่อมหาโพธิ์ฟัง เพื่อขอให้หลวงพ่อมหาโพธิ์ประสิทธิตำราให้แต่ตอนนั้นท่านชราภาพมากและไม่ค่อยพูดด้วยแต่ยังพอมีวาสนาได้รับประสิทธิตำราจากมือหลวงพ่อมหาโพธิ์ไว้ศึกษาในช่วงนั้น ขณะเดียวกันได้ยินจากครูบาอาจารย์ของท่านว่าที่ จ.ลพบุรี มีพระผู้ปฏิบัติดีมีนามว่าหลวงปู่ถม วัดเชิงท่า ท่านจึงเดินทางไปกราบหลวงปู่ถมทั้งยังขอแนวปฏิบัติจากหลวงปู่ซึ่งท่านมอบอักขระนะเมตตา และคาถา พุทโธอรหัง ธรรมโมอรหัง สังโฆอรหัง มาให้ท่านเป็นองค์บริกรรมอีกด้วย นอกจากนี้ท่านได้เรียนวิชากับหมอผล ได้แก่ วิชาเขียนผงปถมังโลกีย์ใช้ผงที่ลบไว้แก้อาถรรพ์แก้คุณคนคุณผีต่างๆ ตำรายาสมุนไพรแก้โรคต่างๆ ฯลฯ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งวิชาที่มีอานุภาพอย่างเอกอุเรื่องลาภผลกินใช้ไม่รู้หมดที่หมอผลไม่สามารถถ่ายทอดให้ได้วิชานั้นชื่อว่า ปลูกข้าวเท่าปักควายนอนมีกินตลอดปี หมอผลกล่าวว่าวิชานี้ยังมีข้อห้ามข้อถือขอให้วิชานี้ตายไปกับตัวท่านก็แล้วกัน ต่อมาท่านได้ไปเรียนวิชากับหมอบุญรอด ขวัญเขต เป็นเรื่องคาถาอาคมและเรื่องยาสมุนไพร ซึ่งอาจารย์ได้เรียนมาจากหมอเขียวซึ่งข้อมูลในตำราสมุดข่อยโบราณทั้งหมดเป็นตำราแรงมากๆแต่ก็จดออกมาได้ไม่หมด สมุดข่อยนั้นถูกเก็บโดยลูกของหมอเขียว โดยท่านได้สั่งกับลูกชายว่าเก็บตำราทั้งหมดไว้ให้ดีในภายภาคหน้าจะมีผู้มารับมอบไปศึกษาไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีใครมาเอาแต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่จะมาเอาตำราข่อยทั้งหมดไปนั้นต้องมีสิ่งของมายืนยันคือ “มีดหมอ” ถึงจะมอบตำราให้ทั้งหมด หมอบุญรอดกล่าวกับท่านว่า “วิชาความรู้ที่ข้ามีข้าสอนเองจนหมดไส้หมดพุงแล้ว เหลือที่อยู่กับข้าก็แค่ตำราทั้งหมดที่ข้ามีและมีดหมอประจำตัวของข้า ข้าจะยังไม่มอบให้เอง ต่อเมื่อก่อนข้าจะตาย 7 วัน ข้าจะให้เขาไปตามเองมารับมอบตำราทั้งหมดพร้อมทั้งมีดหมอประจำตัวไปดูแลต่อ” ซึ่งหลังจากหมอบุญรอดได้มอบตำราและมีดหมอให้พระภุชงค์ ท่านก็ได้เสียชีวิตตามที่ได้บอกไว้ทุกประการ ขณะนั้นพระภุชงค์มีข้อติดขัดในเรื่องวิชาที่ได้เรียนกับหมอผลซึ่งท่านสิ้นบุญไปแล้ว บังเอิญมีคนรู้จักพูดถึงหลวงปู่ละมัยทิศตะโน เมื่อได้ยินท่านก็มุ่งตรงไป จ.เพชรบูรณ์ทันที ซึ่งพอไปถึงลูกศิษย์บอกว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบายคงไม่รับแขก พระภุชงค์เลยเดินไปศาลาที่มีพระพุทธรูปปางประทานพร ข้างๆกันจะมีรูปปั้นแม่ซื้อตั้งเรียงแถวอยู่เลยนั่งลงยกมือพนมอธิษฐานและนึกถึงหลวงปู่ละไม ซึ่งผ่านไปเกือบชั่วโมงหลวงปู่ก็ให้ลูกศิษย์มาตามไปพบพร้อมเขียนอักขระขอมดวงแก้วหนุนสลับกลับไปกลับมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สิ่งที่เอ็งอยากรู้จงดูและจำนำเอาไปฝึกฝน” ในโลกนี้มีให้ศึกษาแค่ 3 ไตร คือ ไตรโลก ไตรภพ ไตรภูมิ หลังจากนั้นท่านก็ได้กราบลาหลวงปู่ละไมเพื่อเดินทางกลับ

        สมัยที่หลวงพี่ภุชงค์เรียนที่กรุงเทพฯ เมื่อกลับบ้านมักจะแวะเวียนไปหาคุณปู่หลัด สว่างกัลป์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติฝ่ายข้างแม่ ซึ่งท่านได้ซึมซับเรื่องว่านยาสมุนไพร คาถาอาคม จวบจนคุณปู่หลัดถึงแก่กรรม ท่านได้เดินทางไปศึกษาวิชาที่ จ.ชุมพร กับอาจารย์ชนะซึ่งก็ได้เรียนวิชาต่างๆ อาทิ ยันต์มหาสำเร็จ ยันต์มหาสมัยและเคล็ดวิชาต่างๆอีกหลากหลาย หลังจากกลับมาท่านเสาะแสวงหาอาจารย์ฆราวาสที่มีความรู้เรื่องไสยเวทย์ คาถาอาคม ซึ่งอยู่ จ.ระยอง และมีโอกาสไปศึกษาวิชากับลุงทา อยู่ที่บ้านทับมา จ.ระยอง ลุงทาได้นำตำราที่เรียนกับหลวงพ่อหินมาให้จดซึ่งมีคาถาหลายอย่าง อาทิ ยันต์เทพยดาหก ยันต์ช้างผสมโขลง เป็นต้น ความที่ท่านพระภุชงค์รู้เรื่องยาสมุนไพรมาตั้งแต่เล็ก ถึงจะสนใจน้อยกว่าคาถาอาคม แต่กลับได้ใช้จริงเมื่อไปหาอาจารย์ทาแล้วมีเสียงร้องโอดโอยจากในบ้านก็เลยถามว่าใครเป็นอะไรอาจารย์ทาบอกลูกสาวคนโตเป็นเริมบริเวณที่ลับซึ่งไปหาหมอแผนปัจจุบัน หรือเป่าพ่นก็ไม่หายหมดหนทางแล้ว พระภุชงค์เลยใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาแนะนำตัวยาต่างๆ ให้นำมาฝนกับฝาละมี (ฝาหม้อดินโบราณ) ซึ่งพอทาแล้วผ่านไปได้ 5 นาทีก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาว่าหายแล้วๆ หายเป็นปลิดทิ้งเลยวิเศษจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านหันมาสนใจอย่างจริงจังเพราะได้เห็นสรรพคุณของยาสมุนไพรประจักษ์ต่อสายตา หลังจากนั้นท่านเดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงพ่อนพวรรณ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวิชาไสยเวทย์ ท่านก็ได้เมตตาเขียนคาถาต่างๆมาให้ท่องและจดหลายบทเมื่อเรียนเสร็จแล้ว ท่านก็ได้ไปศึกษาต่อกับหลวงพ่อมหาสุรศักดิ์ จ.สมุทรสงคราม ซึ่งท่านได้เมตตาสอนวิชาลบผง ลงตะกรุด และวิชาอื่นๆพอสมควร หลังจากนั้นไปศึกษากับฤาษีสมพิศ จ.ปทุมธานี ท่านได้สอนเกี่ยวกับสักยันต์ คาถาอาคม วิชาสร้างกุมารทองรวมทั้งได้มอบตำราสายหลวงปู่ศุขมาให้ศึกษา ต่อจากนั้นท่านได้ไปศึกษาวิชากับหลวงพ่อบุญมาก ซึ่งท่านได้มอบให้อาจารย์วิเชียรผู้เป็นศิษย์สอนแทนบางตำราท่านเป็นผู้มอบประสิทธิให้เอง หลังจากที่ไปเรียนวิชาได้ไม่นานหลวงพ่อบุญมากก็ได้มรณภาพลงจึงถือว่าท่านเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายเลยก็ว่าได้ ระหว่างนี้ท่านได้รู้จักกับลูกศิษย์หลวงปู่ซ้อน วัดหิรัญรูจี ด้วยความถูกอัธยาศัยจึงได้มอบวิชาคาถาหลวงปู่ซ้อนมาให้ท่านศึกษาพร้อมวิธีใช้คาถาต่างๆด้วย หลังจากนั้นท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์สายอาจารย์ชุม ไชยคีรี กับอาจารย์ณัฐเดช ประทีปพิชัย เมื่อเรียนระยะหนึ่งต้องไปฝึกภาคสนาม เมื่อฝึกเสร็จขากลับได้เจอหลวงพ่อชาลี วัดวังยาว ซึ่งท่านได้มีโอกาสครอบครูจากหลวงพ่อชาลี และรับมอบตำราต่างๆ เช่น วิชายันโสฬสมหามงคล วิชาเกราะเพชร เป็นต้น ต่อมามีโอกาสพบหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ที่กรุงเทพฯ ได้พูดคุยเรื่องวิชาสาลิกาจนเป็นที่พอใจ และขอไปเรียนกับหลวงปู่หงษ์ ซึ่งหลวงปู่บอกได้แต่ต้องตามไปเรียนที่ จ.สุรินทร์ ท่านจึงได้เดินทางไป จ.สุรินทร์ หลังจากนั้นท่านได้ศึกษากับอาจารย์ละห้อย คล้ายสิงห์ ท่านเมตตาสอนการลงยันต์ของวัดสะพานสูงให้ คือยันต์โสฬสมงคล แต่อาจารย์ท่านเขียนมาให้แค่ยันต์โสฬสหน้าเดียว จากนั้นท่านไปขอศึกษาสายอาจารย์เฮง ไพรยวัล กับอาจารย์วันชัย ตันติสิรินันท์ ได้แก่ วิชาตัวต้น คัมภีร์รัตนมาลา อีกทั้งยังได้ศึกษาเรียนรู้คาถาอักขระเลขยันต์ในตำราสมุดข่อยของหลวงปู่สีห์ที่ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดสะแกอีกด้วย อีกทั้งท่านเดินทางไป จ.จันทบุรี เพื่อขอแนวการปฏิบัติกรรมฐานในศาสตร์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พร้อมกับหลวงปู่ฟัก วัดเขาน้อยสามผาน ซึ่งท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ทางปฏิบัติกรรมฐานตามแนวของพ่อแม่ครูอาจารย์ ขณะเดียวกันก็ได้แวะเวียนไปกราบหลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทอง เพื่อศึกษาแนวทางปฎิบัติเจริญจิตภาวนา และเรื่องเจริญพระกรรมฐานที่ไม่เข้าใจจนได้รับคำอธิบายจนแจ่มแจ้ง และยังได้วิชาความรู้ต่างๆจากคนเฒ่าคนแก่อีกหลายท่านด้วย จากนั้นท่านได้ไปศึกษาวิชากับลุงไหล่ สัปเหร่อวัดหนองกรับเป็นความรู้พิธีกรรมด้านการเผาศพ

         จวบจนท่านได้เข้าอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนา เพื่อตอบแทนคุณของบิดามารดา ณ วัดสามัคคีคุณาวาส (หนองพังงาย) เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2553 โดยมีพระเทพวราภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูเขมะวราภิวัฒน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูโกศลศาสนกิจวิธาน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "จิรวฑฺโฒ" ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้เจริญยั่งยืน" เมื่อบวชแล้วท่านก็ไม่ได้ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเดินจงกลมตามที่ได้ศึกษาเรียนรู้มา ช่วงกลางพรรษาแรกท่านเดินจงกลมบนทางปูนเยื้องศาลากลางน้ำท่านเห็นแสงสีขาวนวลลอยไปทางหน้าห้องเก็บของจึงตั้งสติจ้องมองแสงนั้นและเดินหยิบไฟฉายตามไปใกล้ๆ แสงนั้นค่อยๆไล่ไปประตูห้องที่สาม ซึ่งเป็นห้องเก็บโลงศพ และโกฐใส่กระดูกคนตาย ท่านได้ยินเสียงบริเวณตู้ไม้เก่าโบราณติดกับผนังตรงข้ามโรงศพจึงเดินไปขยับตู้ไม้นั้นใช้มือเปิดดู เมื่อหยิบมาคือตำราโบราณมีทั้งสมุดข่อยขาวและสมุดข่อยดำ ท่านรู้ทันทีว่าแสงนั้นคือเจ้าของตำราคงมานิมิตให้ท่านนำตำราไปศึกษา เช้าวันต่อมาจึงเรียนต่อหลวงพ่อสิงคราน เจ้าอาวาสวัดสามัคคีคุณาวาสขณะนั้น หลวงพ่อเล่าว่าตำราทั้งหมดนี้เป็นของนายไสว จันมณี ซึ่งหายไปตั้งแต่เก็บกุฎิ หลวงพ่อกล่าวว่าเป็นวาสนาของท่านเจ้าของตำรานี้คงจะให้ท่านเอาไปศึกษาเรียนรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ แล้วหลวงพ่อก็ได้ประสิทธิ์ตำราทั้งชุดให้ท่านทันที หลังจากนั้นท่านก็นำมาศึกษาจนเข้าใจและเรียนรู้พระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรก หลังจากออกพรรษาแรกท่านได้ไปศึกษาความรู้กับอาจารย์เทียม เป็นชาวมอญอยู่ จ.นครปฐม ซึ่งวิชาที่ได้รับถ่ายทอด ได้แก่ วิชาทำประคำแกนกระดาษสาลงยันต์พอกด้วยผงคลุกรัก 108 เม็ด วิชาประคำโทน เป็นต้น ในช่วงก่อนเข้าพรรษาที่ 2 ได้เดินทางไป จ.จันทบุรี เพื่อไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สนั่น วัดป่าคลองกุ้ง ซึ่งท่านสั่งสอนการฝึกอบรมจิตตั้งแต่ต้นทางแห่งการปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติ ก่อนกลับท่านได้เรียนหลวงปู่สนั่นว่าจะออกเที่ยววิเวกจาริกไปแสวงหาความสงบตามพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ก็ได้แนะนำป่าช้าแถวเขต จ.บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ขอนแก่น ซึ่งเป็นป่าช้าที่เหมาะแก่การฝึกกรรมฐาน ท่านจึงได้กราบลาหลวงปู่กลับมาวัดเพื่อเตรียมอัฏฐะบริขารต่างๆ พร้อมทั้งเข้าไปกราบลาหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านได้ไปฝึกสมาธิที่ จ.บุรีรัมย์ต่อไปจนถึงเขต จ.ศรีสะเกษ และย้อนกลับขึ้นมาก็ได้เจอหลวงปู่บุญเพ็ง กัปปะโก วัดป่าวิเวกธรรม หลวงปู่ได้ชี้แนะเรื่องการฝึกจิตและการปฏิบัติทางจิตเพิ่มเติมให้ เมื่อท่านแสวงหาวิเวกเป็นที่สบายใจก็กลับจากการธุดงค์มาเข้าพรรษาที่ 2 เมื่อท่านสอบนักธรรมชั้นโทผ่านแล้วท่านได้ไปศึกษาวิชากับหมอสวัสดิ์ มณีแสง อยู่ที่บ้านดอน จ.ระยอง ซึ่งวิชามีทุกแขนง อาทิ ว่านยาสมุนไพร มหาทมึนน้อย ยันต์แก้วมหาชัย เป็นต้น หลังจากนั้นท่านได้ไปขอวิชาจากยายผล ซึ่งมีอายุ 93 ปี 7 เดือน ซึ่งท่านขอเรียนต่อมาจากปู่เย็นอีกทอดหนึ่ง ซึ่งหลวงปู่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่ออี๋ซึ่งแต่ละคาถาของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มากและใช้ได้ผลทุกคาถา หลังจากออกพรรษาที่ 2 ขณะกำลังกวาดลานวัดได้มีลูกหลานเครือญาติของหลวงพ่อฉุย นำตำราเก่าของหลวงพ่อมาถวายเพื่อให้ท่านนำไปศึกษาต่อ แล้วท่านก็ได้เดินทางไป วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี เข้าไปกราบพระอาจารย์ สุชาติเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการดำเนินจิตในขณะเจริญกรรมฐานที่ยังติดขัดอยู่ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำจนเข้าใจ ช่วงกลางพรรษา 3 ท่านได้รับยื่นตำราของทวดกรุด เชื้อวิเชียร เพิ่มเติมจาก นายเจือง ขจรแสง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกเขยของทวดกรุด หลักๆเป็นวิชารักษาคนถูกหมากัด งูกัด คาถาพ่นเป่ารักษา เป็นต้น หลังออกพรรษาที่ 3 เมื่อสอบนักธรรมชั้นเอกผ่าน ท่านเดินทางไป จ.จันทบุรี เพื่อรับมอบตำราของตระกูลรอดเจริญซึ่งเป็นตระกูลโยมพ่อของท่านซึ่งน่าจะ 4 ชั่วอายุยุคนมาแล้วซึ่งศักดิ์สิทธิ์มากๆหรือเรียกกันว่า “ครูแรง” เนื่องจากมีคนเอาไปศึกษาเล่าเรียนหลายคน เอาไปได้ไม่เกิน 3 วันก็ต้องนำกลับมาคืนที่ ตำราชุดนี้มีวิชาครอบคลุมทุกแขนงไม่ว่าจะเป็น ยามสำเภานาวา วิชาวาดเขียน วิธีฝึกกรรมฐานต่างๆ เป็นต้น ต่อมาท่านจึงเดินทางไป จ.ชลบุรี เพื่อศึกษาคาถาอาคมจากอาจารย์ธรรมนูญ บุญธรรม ซึ่งท่านก็ได้รับความเมตตาจากอาจารย์เป็นอย่างดีในการประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปฝากตัวถวายเป็นศิษย์หลวงปู่บุญลือ วัดคำหยาด จ.อ่างทอง ซึ่งหลวงปู่ก็ได้บอกวิธีฝึกจิต เคล็ดวิชาต่างๆขณะเดียวกันได้รับยื่นตำราวิชาการทำน้ำมนต์โองการต่างๆจากหมอเฉิด เวทวงศ์ รวมทั้งวิชาการอีกหลายแขนงที่อยู่ในตำราอีกด้วย ช่วงหลังออกพรรษาที่ 3 ท่านสังเกตุดูจิตตัวเองที่เคยนิ่งกลับไม่นิ่งเหมือนมีสภาวะเสื่อมลงไม่คงที่ ท่านจึงเดินทางไป จ.เชียงใหม่ เพื่อกราบขอแนววิธีแก้กรรมมาถามจากอาจารย์เปลี่ยน ซึ่งพระอาจารย์เมตตาอธิบายถึงวิธีแก้จุดที่เสื่อมลงให้กลับมาเป็นปกติ ขากลับเมื่อผ่าน จ.อ่างทอง ทันได้ไปกราบหลวงปู่สม สุชีโว วัดโพธิ์ทอง หลวงปู่ได้อธิบายการลบผงวิเศษต่างๆให้ฟังอย่างละเอียด ก่อนที่จะเข้าพรรษาที่ 4 ท่านได้เดินทางฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่เสริฐ เขมะโก วัดโอภาสี ซึ่งขณะนั้นสายตาของหลวงปู่เสริฐมองไม่เห็นแล้ว วิชาความรู้ที่หลวงปู่เสริฐเมตตาถ่ายทอดท่องให้พระภุชงค์ฟังและให้จดจำ อาทิ วิชาลงตัวเฑาะ วิชาปลักขิก วิชาเสกหนุมาน เป็นต้น หลังออกพรรษาที่ 4 ท่านได้เดินทางไปศึกษากับหมอเพี้ยน พงษ์ศรี อายุ 92 ปี หมอเพี้ยนสอนวิชาท่านแบบมุขปาฐะ คือท่องคาถาบอกคาถาและให้ท่านจำเอา หมอเพี้ยนเห็นความสนใจจะเรียนวิชาจริงจึงหยิบตำราสมุดข่อยอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ทิมออกมาให้ท่านจดและศึกษาพร้อมทั้งสอนวิชาการลงยันต์ห้า ยันต์มหาระงับ ยันต์มหาสะกด เป็นต้น หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไป จ.จันทบุรีอีกครั้งเพื่อศึกษาวิชาอาคมจากคุณอำนวย รอดเจริญ ผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ อาอำนวยได้มอบตำราสมุดจดคาถาต่างๆและสมุดข่อยของตระกูลที่ตกทอดมาให้ด้วย ช่วงเวลาหลังออกพรรษาที่ 4 พระภุชงค์จึงได้เดินทางพร้อมคณะศิษย์ไปกราบขออุบายธรรมในการฝึกจิตกับหลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล วัดป่าสมบูรณ์ธรรม จ.พิษณุโลก ขากลับท่านได้เข้าไปกราบหลวงน้าลำไย สัญญโม ที่วัดสะแก ซึ่งท่านก็ได้ถามถึงการปฏิบัติของท่านว่าเป็นอย่างไรต้องปรับปรุงจุดใดบ้าง น้าลำไยตอบว่าทำดีอยู่แล้ว ทำต่อไปเถอะ เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทาง พอท่านกล่าวดังนั้นก็จึงกราบหลวงน้าลำไยกลับในทันที ก่อนจะเข้าพรรษาที่ 5 ท่านได้เดินทางไปศึกษาวิชาด้านอาคมและหมอยา กับอาจารย์ตั๋น จงใจจิตร์ แห่งบ้านเจ้าหลาว จ.จันทบุรี เมื่อออกพรรษาที่ 5 ท่านใดเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูวิชัยกิจจารักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามว่า หลวงพ่ออุดม อุตฺตมปญฺโญ วัดพิชัยสงคราม จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งพระภุชงค์ได้รับมอบวิชาครบถ้วนเลยก็ว่าได้ อาทิ อักขระเลขยันต์ วิชาลบผงต่างๆ พร้อมทั้งคาถาอาคมอีกหลายบท ที่สำคัญคือได้ขึ้นกรรมฐานอีกด้วย ต่อจากนั้นได้เดินทางฝากตัวเป็นศิษย์ในองค์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เพื่อฝึกปฏิบัติเรื่องจิตภาวนา เมื่อเรียนจบได้ลาหลวงพ่อกลับคืนสู่วัดสามัคคีคุณาวาสดังเดิม พรรษาที่ 6 ท่านได้เดินทางไปศึกษาความรู้จากอาจารย์ฆราวาสที่บ้านมาบข่า เป็นผู้ลี้ลับไร้ชื่อไร้นามซึ่งท่านได้สอนวิชาด้านพุทธคุณต่างๆให้ทั้งหมดตั้งแต่พุทธตัวต้น จนถึงพุทธคุณตัวปลาย พร้อมกันนี้ยังได้ศึกษาเรียนรู้กับท่านอาจารย์อภิชา ปังสือ (อาจารย์ดา ปราการ) ในพรรษานี้เองลูกชายของหมอเขียวชื่อว่าลุงประยูรได้มากราบท่านพร้อมพูดว่าเมื่อคืนฝันว่าพ่อมาหาและบอกว่ามีดหมอของพ่ออยู่ที่พระภุชงค์ ให้ไปหาท่านแล้วตามให้พระท่านมารับมอบตำราทั้งหมดไปศึกษาเรียนรู้ดูแลต่อ ท่านจึงไปหยิบมีดหมอออกมาให้ลูกหมอเขียวดู ลูกหมอเขียวจึงมอบตำราของโบราณทั้งหมดถวายให้กับท่านเพื่อให้เป็นไปตามที่พ่อสั่งไว้ ช่วงพรรษาที่ 6 ท่านได้เตรียมทำวัตรเย็นก็มีรถกระบะวิ่งเข้ามาให้ท่านช่วยปราบผีไทใหญ่ซึ่งท่านก็ทำสำเร็จ ก่อนที่จะเข้าพรรษาที่ 7 ท่านได้ไปศึกษาเรียนรู้ในศาสตร์ด้านการประกอบพิธีกรรมแขนงต่างๆกับอาจารย์วันชัย เชยนิ่ม ไม่ว่าเป็นการจัดพิธีพุทธาภิเษก ตำราลงพระยันต์ 108 เป็นต้น พร้อมกันนั้นยังได้รับการครอบตำราพร้อมกับวิชาในสายของท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรในฝ่ายพระเวทย์ และฝ่ายโหรมาอีกด้วย หลังจากออกพรรษาที่ 7 ท่านได้เข้าศึกษากับอาจารย์ปู่บุญมา พุ่มมาลี วิชาความรู้ที่อาจารย์ถ่ายทอด อาทิ ยันต์เกราะเพชร ยันต์มหารูด เป็นต้น หลังจากนั้นท่านได้เข้าไปขอเรียนวิชาถักเชือกคาดเอว วิชาลงตะกรุดมหาอุด วิชาลงนะโลม นะภิกขุณี กับคุณตามุด ในพรรษาที่ 8 ท่านได้เดินทางเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ยวง ท่านก็เมตตาและมอบตำราสมุดข่อยของหลวงพ่อจงให้ท่านได้อ่านและคัดลอก อีกทั้งสอนวิชาความรู้ให้ศึกษา อาทิ ยันต์พญาราชสีห์ วิชาเสกรักยม เป็นต้น ในช่วงพรรษานี้ท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาในสายของหลวงปู่ทาบ วัดใหม่กระบกขึ้นผึ้ง จากตำราของ คุณตาเขียน สุขเกิด ก่อนจะออกพรรษาที่ 8 ท่านยังได้รับความรู้และตำราข่อย จากคุณตาสุวรรณ พรหมประสิทธิ์ หรือหมอหลิ่ว ซึ่งตำราที่ได้ถ่ายทอดให้ส่วนใหญ่เป็นเกร็ดการใช้ยาสมุนไพร ตำรายาเกร็ดต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ประสิทธิตำราสมุดข่อยของท่านทั้งหมดมอบถวายให้แก่พระภุชงค์อีกด้วย หลังจากออกพรรษาที่ 8 ท่านก็ได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์มนัส สิวาภิรมณ์รัตน์ อาจารย์ท่านยังได้ถ่ายทอดตำรายันต์โสฬส ยันต์มหาระงับ และวิชาอื่นๆ ในขณะนั้นท่านทราบว่ามีลูกศิษย์หลวงปู่คำพันธ์ท่านหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาอันเป็นวิทยาการแขนงต่างๆ จากหลวงปู่คำพันธ์อย่างถูกต้อง ท่านคือ มหาฮง (ซึ่งต่อมาภายหลังได้สึกหาลาเพศจากเพศบรรพชิตออกมาเป็นฆราวาส) ท่านจึงไปหาเพื่อขอความรู้ซึ่งท่านมหาฮงได้ถ่ายทอดวิชาให้กับท่าน อาทิ วิชาธาตุ ยันต์เศรษฐี ฯลฯ ขณะเดียวกันท่านยังได้รับการครอบครูประสิทธิ์ประสาทความรู้จากหลวงพ่ออาด วัดตะพุนทอง อีกด้วย ก่อนเข้าพรรษาที่ 9 ท่านได้เดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปศึกษาวิทยาคมกับหลวงปู่สนม อติธัมโม วัดพระปรางค์เหลือง ซึ่งท่านมีความเป็นเลิศทั้งทางวิปัสสนากรรมฐานและทรงวิทยาคุณ การไปในครั้งนี้ท่านได้รับคำแนะนำเรื่องของการวางจิต คาถา และเคล็ดลับในการอธิฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลรวมทั้งทำน้ำมนต์จินดามณี รวมทั้งวิธีการสร้างมีดหมออาคม วันหนึ่งท่านทราบว่าในละแวกวัดใหม่กระบกขึ้นผึ้ง ว่ามีฆราวาสที่มีความรู้ในศาสตร์ลึกลับด้านคาถาอาคม ชื่อว่าหมอสิงหล ท่านจึงไปหาเพื่อขอความรู้ในศาสตร์วิชาต่างๆจากหมอสิงหล พร้อมกันนั้นหมอสิงหลก็ได้ยกตำราเก่าแก่มาให้ท่านได้คัดลอก เป็นนัยว่าได้มอบวิชาโบราณต่างๆเหล่านี้ให้ท่านได้เป็นผู้สืบทอดต่อไป หลังจากออกพรรษาที่ 9 ท่านได้ไปศึกษาวิชากับคุณตาอินทร์ ที่บ้านตะเคียนเตี้ย ซึ่งได้ศึกษาตำรายันต์ คาถาต่างๆ อาทิ ยันต์นะฉัพพรรณรังสี ยันต์จินดามณีฉิมพลีใหญ่ เป็นต้น อีกทั้งวิชานารายณ์วิชาโพทัยธิบาทแบบต้องนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์และแบบไม่ต้องนิมนต์พระมาเจริญพุทธมนต์ ถึงกระนั้นท่านยังได้ไปขอความรู้เพิ่มเติมจากคุณตาตัน ธรรมเสถียร ซึ่งคุณตาตันเป็นลูกชายของหมอทัดอีกด้วย หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไป จ.จันทบุรี ไปขอเรียนวิชากับหมอเล็ก คนจันทบุรีเรียกท่านว่า “ก๋งอินทร์” แห่งวัดบ่อพุ ท่านเป็นผู้ชำนาญเรื่องยาสมุนไพรและคาถาอาคมเป็นอย่างมาก นอกจากท่านจะได้วิชาจากหมอเล็กแล้วยังได้รับคำแนะนำให้ไปขอเรียนวิชากับ หลวงพ่อถม วัดเขาน้อยอีกด้วย ท่านจึงเดินทางไปหาหลวงพ่อถม ซึ่งถ้าไม่บอกว่ามาจากหมอเล็ก ท่านคงจะไม่พูดเรื่องราวอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ ให้ฟัง รวมถึงไม่สอนวิชาให้ด้วย หลังจากออกพรรษาที่ 10 ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่พัฒน์ วัดห้วยด้วน ศึกษาวิชาการทำมีดหมอ เป็นต้น และพระภุชงค์ยังได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ปั่น จันทาโภ วัดเนินมหาเชษฐ์ จ.สุพรรณบุรี ศึกษาวิชาจินดามณี ฯลฯ พร้อมกันนั้นยังได้ศึกษาวิชาสายหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง จากตำราทั้งหมดของหมอจำเหลาะ ที่ได้เรียนมาจากหลวงปู่เสริฐและหลวงพ่ออาด ในพรรษาเดียวกันนี้ท่านได้รับมอบตำราจากหมอพิน ซึ่งเป็นตำราไสยเวทย์เกี่ยวกับการเสกน้ำมันมนต์ ก่อนจะเข้าพรรษาที่ 11 ท่านได้ไปฝากตัวขอเรียนวิชากับ หลวงพ่อวิชา วัดชอนทุเรียน หลวงพ่อท่านเมตตาประสิทธิ์ ยันต์นะมหาสำเร็จ เคล็ดการเสกกุมารทอง แต่ท่านจะเน้นหนักสอนเรื่องการฝึกจิต เจริญปัญญาเสียเป็นส่วนมากท่านว่าทุกอย่างสำเร็จที่จิตตัวเดียว ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อยนต์ ฐิตสาโร วัดหล่ายหนองหมี หลวงพ่อท่านได้เมตตาแนะนำสั่งสอนพร้อมทั้งยังได้ประสิทธิตำรามาให้ท่านได้ศึกษาอีกด้วย หลังจากออกพรรษาที่ 11 ท่านก็ได้เดินทางไป จ.พิจิตร เข้าฝากตัวขอเป็นศิษย์หลวงพ่อแสวง ธัมมวโร วัดโพธิ์แดน เพื่อขอศึกษาวิชาทำพิรอด อีกทั้งท่านยังได้รับประสิทธิ์ประสาทตำราวิชาของฆราวาสผู้เรืองอาคม จอมขมังเวทย์แห่งนครสวรรค์ ท่านคือ ปู่เกิด แก้วสารพัดนึก

        ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่พระภุชงค์ได้ไปเสาะแสวงหาวิชาความรู้ และเมื่ออยู่ในวงสนทนาท่านจะบอกกับลูกศิษย์เสมอว่า พ่อแม่ครูอาจารย์สั่งสอนว่า “ผู้ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา ถึงแม้ให้เพียงแค่อักขระตัวเดียวหรือคาถาแค่ตัวเดียว ก็ให้ถือว่าท่านผู้นั้นเป็นครูบาอาจารย์เราตลอดชีวิต และอีกอย่างคือไม่ให้ลืมพระคุณของท่านเหล่านั้นเป็นอันขาดแม้ตำหรับตำราที่ได้เรียนมาและศึกษามาด้วยตนเอง ก็ให้ถือว่าตำหรับตำรานั้นเปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของเราคนหนึ่งห้ามลืมคุณของตำรานั้นโดยเด็ดขาด” ขณะเดียวกันในระหว่างที่ศึกษาวิชาความรู้ ท่านก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องการปฏิบัติภาวนา เมื่อมีเวลาว่างท่านก็จะไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่นเพื่อจะขออุบายในการฝึกอบรมจิตใจ

ติดต่อลงประกาศข้อมูลพระเครื่อง

บทความเพิ่มเติม